
ลักษณะทางกายภาพ (กายวิภาคศาสตร์) ของแพะ

Table of Contents
แพะ (Goat) เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่มีความคล้ายคลึงกับสัตว์ในประเภทเดียวกันนี้ในบางด้าน ซึ่งลักษณะทางกายภาพหรือกายวิภาคของแพะสามารถบอกคุณได้เลยว่าแพะมีสุขภาพดีหรือไม่ นอกจากนี้บอกถึงอายุ และเชื้อสายของมันได้อีกด้วย
ในบทความนี้ เราจะพาคุณไปสำรวจกระเพาะของสัตว์เคี้ยวเอื้องอย่างแพะ นอกจากนี้ยังมีในเรื่องของการบอกอายุแพะจากฟัน, ดวงตา, เหนียง รวมถึงลักษณะของแพะที่มีสุขภาพดีควรเป็นอย่างไร
ลักษณะทางกายภาพแพะ

แพะบอร์อเมริกันอายุหนึ่งปีที่สวยงามของเรากำลังโพสท่าหน้ากล้อง ในภาพนี้คุณสามารถเห็นสรีระของแพะเพศผู้ได้อย่างชัดเจน แพะเพศผู้สามารถเติบโตได้ถึงสองเท่าของขนาดแพะเพศเมีย
สำหรับผู้ที่ไม่เคยมีประสบการณ์ในการเลี้ยงแพะมาก่อน แต่ต้องการเลี้ยงมัน อาจไม่จำเป็นต้องรู้จักลักษณะทางกายภาพทุกส่วนของแพะ แต่ถ้าหากต้องการเลี้ยงแพะให้มีสุขภาพดี และคุณก็ประสบความสำเร็จโดยเฉพาะกับผู้ที่มีความสนใจจะทำฟาร์ม ส่วนต่าง ๆ ของร่างกายแพะ Furry Farm แนะนำว่าเป็นสิ่งที่คุณควรรู้
- Cannon bone: กระดูกหน้าแข้ง
- Chine: บริเวณกระดูกสันหลังด้านหลังหนอก (Wither)
- Escutcheon: ช่วงอุ้งเชิงกรานขาหลังซึ่งเป็นส่วนที่มีเต้านมอยู่ในแพะเพศเมีย บริเวณนี้ควรมีความกว้างในประเภทแพะนม
- Pastern: ส่วนที่ยืดหยุ่นของขาส่วนล่างใต้ Dewclaw และอยู่เหนือกีบ (Hoof)
- Pinbone: กระดูกสะโพก
- Stifle joint: ข้อเข่าของแพะ
- Thurls: คือข้อต่อลูกกลม ๆ ที่เชื่อมระหว่างขาหลังกับกระดูกเชิงกราน
- Withers: บริเวณไหล่หรือบริเวณกระดูกสะบักบรรจบกันที่ฐานคอ ซึ่งส่วนนี้จะใช้เป็นเกณฑ์การวัดความสูงแพะ
กะโหลกศีรษะ (Skulls)
แพะมีกะโหลกศีรษะที่ประกอบไปด้วยกระดูกหลายชิ้นที่เชื่อมต่อเข้าด้วยกัน เพื่อปกป้องสมอง ประกอบไปด้วยกระดูกหน้าผาก, กระดูกข้างกระหม่อม, กระดูกท้ายทอย, กระดูกขมับ และกระดูกขากรรไกรล่าง
กีบเท้า (Hooves)
กีบเท้าแพะมีลักษณะเป็นฝักที่มีกระดูกแข็งซึ่งปกคลุมส่วนล่างของเท้าแพะและแบ่งออกเป็น 2 ส่วน แพะจะยืนและเดินบนกีบนี้ เพื่อไปไหนมาไหนซึ่งมีความสำคัญกับพวกเป็นอย่างมาก
เมื่อมีบางอย่างผิดปกติกับกีบ ระบบกล้ามเนื้อและกระดูกที่เหลือจะได้รับผลกระทบไปด้วย ซึ่งอาจทำให้เกิดความเจ็บปวด เดินกะเผลก ขาเจ็บ และอายุมีขัยที่สั้นลง
เนื่องจากพวกมันไม่ชอบยืนกินในจุดเดียว แพะจึงทำได้ไม่ดีนักหากต้องนอนราบหรือคุกเข่า กีบเท้าแพะนั้นยาวเกือบหนึ่งฟุตและขดอยู่ที่ปลาย บ่อยครั้งที่ส่งผลให้หลายตัวเดินไม่ได้ด้วยซ้ำ และตัวอื่น ๆ ก็เดินคุกเข่า หรือต้องลากเท้าหลังไป และนั่นแปลว่ามันเกิดอาการเจ็บเท้าแล้ว!
กีบเท้าที่ไม่ได้รับการตัดแต่ง ทำให้แพะมีแนวโน้มที่จะถูกน้ำร้อนลวกหรือเน่าเปื่อยจนเกิดเป็นโรคเท้าเน่าในแพะ ซึ่งสามารถฆ่าแพะได้ในที่สุด กีบแพะจะทำงานได้ดีที่สุดในสภาพอากาศที่แห้งและพื้นที่ที่เป็นหิน แพะที่ดุร้ายหรือดุร้ายมานานหลายปี เช่น แพะสเปน (Spanish goat) ต้องการการดูแลกีบเท้าน้อยกว่าแพะที่ได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิดและเลี้ยงในฟาร์ม
กีบแพะที่เหมาะสมจะมีรูปทรงสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูน และไม่มีการเจริญเติบโตมากเกินไปที่ด้านข้างหรือด้านหน้า การตัดแต่งกีบแพะเป็นประจำจะช่วยให้คงรูปทรงนี้ไว้ได้
ฟัน (Teeths)
แพะมีฟันล่างที่ด้านหน้าปาก แต่มีเพียงแผ่นแข็งอยู่ด้านบนเท่านั้น นอกจากนี้ยังมีฟันหลังทั้งบนและล่าง ซึ่งคุณจะค้นพบฟันเหล่านี้ได้อย่างเจ็บปวด หากคุณใช้นิ้วจิ้มเข้าไปในหลังปากแพะ! ซึ่งฟันหลังใช้สำหรับการเคี้ยวเอื้องนั่นเอง
ลูกแพะจะมีฟันซี่แรกก่อนคลอด เมื่ออายุครรภ์ประมาณ 98 ถึง 105 วัน พวกมันจะสูญเสียฟันน้ำนมไป เช่นเดียวกับสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมอื่น ๆ โดยทั่วไปคุณสามารถกำหนดอายุของแพะได้โดยดูจากฟันทั้ง 8 ซี่ในกรามหน้าล่างของแพะ นี่เรียกว่า การงอกของฟันแพะ
การงอกของฟันแพะในแต่ละตัวจะมีความแตกต่างกัน คุณสามารถพบความแปรปรวนท่ามกลางฝูงแพะได้ พวกมันอาจสูญเสียฟันบางส่วนและงอกใหม่ในเวลาที่ต่างกัน ซึ่งอาจเป็นอาหารหรือสุขภาพของพวกมันก็ส่งผลต่อการเจริญเติบโตของฟันได้เช่นกัน
การงอกของฟันแพะ สามารถบอกอายุได้ และด้านล่างนื้คือ คำแนะนำเกี่ยวกับการงอกของฟันแพะ
- อายุ 1 ปี: ฟันน้ำนมมีขนาดเล็กและแหลมคม พวกมันจะค่อย ๆ หลุดออกมาและมีฟันแท้เข้ามาแทนที่
- อายุ 2 ปี: ฟันหน้ากลาง 2 ซี่จะหลุด เมื่อมันอายุประมาณ 12 เดือน ฟันแท้ที่มีขนาดใหญ่กว่าจำนวน 2 ซี่จะงอกขึ้นมาแทนที่
- อายุ 3 ปี: ฟันข้างฟันกลางทั้งสองซี่หลุดออก ฟันแท้ใหม่ที่ใหญ่ขึ้นสองซี่จะงอกขึ้นมา เมื่อมีอายุประมาณ 24 เดือน
- อายุ 4 ปี: ฟันสองซี่ถัดไปที่ด้านใดด้านหนึ่งของฟันกลางทั้งสี่ซี่หลุดออก และฟันแท้ใหม่จะงอกขึ้นมา
- อายุ 5 ปี: แพะมีฟันหน้าทั้งหมดแปดซี่
หลังจากอายุ 5 ปีไปแล้ว คุณสามารถเดาอายุแพะได้โดยการมองหาการสึกหรอของฟันและฟันที่หายไป ซึ่งจะแตกต่างกันตามอาหารที่แพะได้รับ
เครา (Wattles)
แพะส่วนใหญ่แต่ไม่ใช่ทุกตัวมีเครา หนวดเคราของแพะเพศผู้มีความสง่างามมากกว่าเคราแพะเพศเมีย แม้ว่าจะไม่ทราบจุดประสงค์ของการไว้หนวดเครา แต่สิ่งมันก็เหมาะสำหรับการเก็บกลิ่นอันเป็นเอกลักษณ์ที่ตัวผู้ชอบอวดในช่วงฤดูผสมพันธุ์ หากคุณมีปัญหาในการแยกแยะความแตกต่างระหว่างแพะกับแกะให้มองหาเครา เพราะมีเพียงแพะเท่านั้นที่มี แต่ก็อย่าลืมว่าไม่ใช่แพะทุกตัวจะมีเครา
เหนียง (Wattles)
เหนียง (Wattles) คือ เนื้อที่ห้อยลงมาจากคอแพะเลยบริเวณที่คางติดอยู่เป็นของตกแต่งของแพะอย่างหนึ่ง เหนียงพบได้บ่อยในประเภทแพะนมและแพะแคระปิ๊กมี่ แพะส่วนใหญ่มีสองเหนียง พวกมันเป็นลักษณะทางพันธุกรรม อย่างน้อยพ่อแม่ต้องมีเหนียง เพื่อให้ลูกแพะเกิดมาพร้อมกับเหนียงนี้เช่นกัน
เขา (Horns)
แพะส่วนใหญ่จะมีสองเขา มีได้ทั้งตัวผู้และตัวเมีย เว้นแต่ว่าพวกมันจะแยกตัวออกหลังคลอดไม่นาน แพะส่วนน้อยไม่มีเขาโดยธรรมชาติ หรือที่เรียกว่า ‘โพล (Polled)’ แม้ว่าแพะโพลจะเป็นที่พึงปรารถนาเพราะช่วยลดงานให้เจ้าของและลดการทำอันตรายในฝูงแพะแล้ว ในแพะนมบางสายพันธุ์ หากคุณผสมพันธุ์แพะโพลเข้าหากันก็อาจมีอัตราการเกิดแพะกะเทย (intersex) ได้สูงกว่า
วิธีที่จะบอกว่ามันเป็นแพะกะเทยหรือไม่ คือ การมองหาส่วนที่มีการหมุนวนบนศีรษะตรงบริเวณที่เขาของมันจะงอกขึ้นมา ซึ่งเมื่อเขาเติบโตมันจะมีลักษณะปุ่มมนคล้ายเข้าของยีราฟที่มีลักษณะสั้น
ดวงตา (Eyes)
รูม่านตาของแพะมีลักษณะเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้ามากกว่าวงกลมเหมือนกับสัตว์อื่น ๆ แพะมีการมองเห็นตอนกลางคืนที่ดีเยี่ยม ซึ่งช่วยให้พวกมันสามารถหลีกเลี่ยงผู้ล่าและออกหากินในเวลากลางคืนได้นั่นเอง ซึ่งสีตาของแพะมีตั้งแต่สีเหลือง, สีน้ำตาล ไปจนถึงสีน้ำเงิน
ระบบย่อยอาหาร

แพะต้องมีระบบย่อยอาหารที่แข็งแรงเพื่อย่อยอาหารจากพืชที่พวกมันกิน ที่ Furry Farm แพะส่วนใหญ่กินใบปาล์มซึ่งย่อยยาก และเนื้อปาล์มที่ย่อยง่ายมาก ในภาพนี้ พวกมันได้รับทั้งสองอย่างผสมกัน
แพะเป็นสัตว์เคี้ยวเอื้อง ซึ่งหมายความว่า พวกมันมีช่องในกระเพาะสี่ช่อง และส่วนหนึ่งของกระบวนการย่อยอาหาร ได้แก่ การสำรอกอาหารที่ย่อยบางส่วนขึ้นมาแล้วเคี้ยวมัน เราเรียกลักษณะเช่นนี้ว่า ‘การเคี้ยวเอื้อง’ สัตว์ที่มีระบบย่อยอาหารแบบนี้จำเป็นต้องกินอาหารประเภทพืชเป็นหลัก
การที่คุณทำความเข้าใจในระบบย่อยอาหารของแพะ รวมถึงวิธีการทำงานจะช่วยให้ฝูงแพะของคุณมีสุขภาพดีแข็งแรง นอกจากนี้คุณยังสามารถระบุปัญหาที่เกิดขึ้น จนนำไปสู่การแก้ปัญหาได้อย่างตรงจุดอีกด้วย
กระเพาะแพะ ประกอบไปด้วยกระเพาะ 4 ส่วน เป็นกระเพาะส่วนหน้า 3 ส่วน ได้แก่ กระเพาะรูเมน (Rumen), กระเพาะเรติคิวลัม (Reticulum), กระเพาะโอมาซัม (Omasum) และกระเพาะจริง 1 ส่วน คือ กระเพาะอะโบมาซัม (Abomasum) ซึ่งกระเพาะแต่ละส่วนมีหน้าที่แตกต่างกัน ดังนี้
กระเพาะรูเมน (Rumen)
กระเพาะรูเมน (Rumen) หรือ ที่เรารู้จักกันดีว่า ผ้าขี้ริ้ว เป็นกระเพาะที่ใหญ่ที่สุดในบรรดากระเพาะส่วนหน้าทั้งหมด โดยมีความจุ 1 ถึง 2 แกลลอน โดยอาหารหรือหญ้าที่กินเข้าไปจะอยู่ในกระเพาะนี้ก่อนซึ่งเป็นถังหมักขนาดใหญ่ที่มีแบคทีเรียอาศัยอยู่ จุลินทรีย์เหล่านี้จะย่อยสลายอาหารหยาบ เช่น หญ้าแห้ง จากนั้นแพะจะสำรอกสิ่งที่แตกหักบางส่วนออกมาเคี้ยวอีกครั้งแล้วกลืนลงไป
กระบวนการที่ซ้ำเช่นนี้ไปเรื่อย ๆ จะทำให้เกิดก๊าซมีเทนที่เป็นผลพลอยได้ มีเทนเป็นสาเหตุของการเรอที่มีกลิ่นแรงซึ่งคุณสามารถคาดหวังได้จากแพะที่มีกระเพาะรูเมนที่มีสุขภาพดี แพะที่ไม่สามารถเรอออกมาได้จะส่งผลให้มีอาการบวมหรือท้องอืด กระบวนการการทำงานของกระเพาะรูเมนยังสร้างความร้อนเหมือนกับกองปุ๋ยหมักซึ่งช่วยให้แพะอบอุ่นได้
กระเพาะเรติคิวลัม (Reticulum)
กระเพาะเรติคิวลัม (Reticulum) หรือ กระเพาะรังผึ้ง จะอยู่ในตำแหน่งด้านหน้าและข้างใต้ของกระเพาะรูเมน ใกล้กับตับ ซึ่งกระเพาะส่วนนี้จะทำงานร่วมกับกระเพาะรูเมน เพื่อย่อยสลายอาหารในเบื้องต้น การหดตัวของกระเพาะรูเมนจะเก็บอนุภาคเล็กของอาหารที่ย่อยสลายบางส่วนให้อยู่ในกระเพาะรูเมนก่อน ขณะที่ชิ้นส่วนที่หยาบกว่าจะถูกส่งมาที่กระเพาะเรติคิวลัม จากนั้นกระเพาะส่วนนี้จะเกิดการหดตัวและส่งอาหารบางส่วนที่ย่อยแล้วเข้าไปในปาก เพื่อเคี้ยวเอื้องต่อไป
กระบวนการนี้จะดำเนินต่อไปจนกว่าชิ้นส่วนอาหารจะมีขนาดเล็กพอที่จะผ่านได้ ไปจนถึงกระเพาะโอมาซัม (Omasum) นอกจากนี้ กระเพาะส่วนที่ 2 นี้ ยังจับสิ่งที่เป็นอันตรายได้อีกด้วย เช่น วัสดุที่คล้ายลวดหรือตะปูที่แพะกลืนลงไปโดยไม่ได้ตั้งใจ
กระเพาะโอมาซัม (Omasum)
กระเพาะโอมาซัม หรือ ที่เรารู้จักกันในชื่อ กระเพาะสามสิบกลีบ หลังจากผ่านกระบวนการหมักและการเคี้ยวเอื้องเพื่อย่อยอาหารหยาบแล้ว มันจะเคลื่อนผ่านกระเพาะเรติคูลัมไปยังโอมาซัม ซึ่งเอนไซม์จะทำหน้าที่ย่อยต่อไป โอมาซัมมีเนื้อเยื่อที่พับยาวซึ่งมีหน้าที่ช่วยกำจัดของเหลวและลดขนาดของเศษอาหารที่ออกมาจากกระเพาะรูเมน และส่งเข้ากระเพาะส่วนที่ 4 หรือ อะโบมาซัม (Abomasum) ต่อไป
กระเพาะอะโบมาซัม (Abomasum)
อะโบมาซัม เป็นกระเพาะแท้และเป็นส่วนเดียวที่สร้างระบบย่อยอาหารเอนไซม์ เป็นการเสร็จสิ้นขั้นตอนในกระบวนการย่อยอาหารที่กระเพาะส่วนหน้าย่อยมาแล้วบางส่วน อะโบมาซัมทำหน้าที่ย่อยเมล็ดพืชและนมเบื้องต้น ซึ่งไม่จำเป็นต้องย่อยแบคทีเรียในกระเพาะรูเมน ผลิตภัณฑ์จากการย่อยส่วนนี้จะผ่านเข้าสู่ลำไส้เล็ก เพื่อการย่อยสลายขั้นสุดท้าย โดยแยกของเสียออกจากไขมันและโปรตีนที่ยังใช้งานได้
ลักษณะของแพะที่มีสุขภาพดี

ในช่วงฤดูฝน แพะสามารถเป็นหวัดได้ง่ายและมีน้ำมูกไหล แต่ในภาพนี้คือลักษณะของจมูกที่สุขภาพดีสมบูรณ์
จากที่กล่าวไปข้างต้นว่าการเลี้ยงแพะคุณอาจไม่จำเป็นต้องรู้จักทุกส่วนของแพะ แต่ถ้าหากคุณต้องการเลี้ยงแพะให้มีสุขภาพที่ดี คุณจำเป็นที่จะต้องศึกษาลักษณะทางกายภาพรวมถึงพฤติกรรมของแพะสายพันธุ์ต่าง ๆ เพื่อเวลาที่แพะมีปัญหาด้านสุขภาพ คุณก็จะสามารถระบุได้ว่าแพะเจ็บป่วยจากสาเหตุใด
แพะที่มีสุขภาพดี คุณจะสามารถสังเกตได้จากลักษณะที่เห็นได้จากภายนอก อาทิ ท่าทางการยืน มันจะไม่ดึงขาหลังไปข้างหน้าหรือข้างหลังมากเกินไป หัวแพะตั้งตรง ดูตื่นตัว และมีความคล่องแคล่ว
ดวงตาแพะ แพะที่สุขภาพดีมันจะมีดวงดาสีน้ำตาลใส มีเปลือกตาและเหงือกสีชมพู กลับกันหากแพะมีสุขภาพที่ไม่ดี มันจะมีน้ำอยู่ที่ดวงตาตลอด อาจมีน้ำมูกไหลร่วมด้วย
อัตราการหายใจ โดยเฉลี่ยจะอยู่ที่ 10 – 13 ครั้งต่อนาที หากเป็นแพะที่โตเต็มวัย ขณะที่แพะจะเฉลี่ยอยู่ที่ 20 – 40 ครั้งต่อนาที
บทสรุป
แพะเป็นสัตว์เคี้ยวเอื้อง ดังนั้น แพะจึงมี 4 กระเพาะเหมือนกับวัว ได้แก่ กระเพาะรูเมน (Rumen), กระเพาะเรติคิวลัม (Reticulum), กระเพาะโอมาซัม (Omasum) และกระเพาะอะโบมาซัม (Abomasum) ซึ่งกระเพาะทั้งหมดนี้จะทำหน้าที่ในการย่อยอาหารประเภทพืช ผ่านการเคี้ยวบดหยาบรอบแรก และมันจะสำรอกอาหารหยาบบางส่วนออกมาจากกระเพาะ แล้วเคี้ยวเอื้องเพื่อให้อาหารนั้นถูกบดละเอียดมากขึ้น
แพะมีความแตกต่างจากแกะ โดยสิ่งที่สามารถสังเกตเห็นได้จากภายนอก ได้แก่ เหนียง และ เครา ซึ่งแกะจะไม่มีในส่วนนี้ รวมไปถึงเรื่องของฟัน แพะจะมีฟันตั้งแต่อยู่ในครรภ์ ขณะที่ฟันซี่แรกของแกะจะขึ้นหลังการคลอดออกมาแล้ว
ลักษณะทางกายภาพของแพะ ทำให้เราสามารถสังเกตได้อีกด้วยว่าแพะของคุณมีสุขภาพดีหรือไม่ โดยดูจากท่าทางการยืน, ศีรษะ, ดวงตา และอัตราการเต้นของหัวใจ เป็นต้น
ลักษณะทางกายภาพหรือกายวิภาคศาสตร์ของแพะเป็นสิ่งจำเป็นที่คุณควรรู้ หากคุณต้องการเลี้ยงแพะ ไม่ว่าจะเลี้ยงเพื่อเป็นสัตว์เลี้ยงหรือเพื่อเชิงพาณิชย์ เพราะเมื่อไหร่ก็ตามที่แพะเริ่มมีปัญหาสุขภาพ คุณจะสามารถรู้ได้ว่าเกิดจากสาเหตุอะไร และควรแก้ปัญหาอย่างไรให้ถูกจุด